วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556

อานิสงส์ถวายอัฏฐะบริขาร


อัฎฐมีทั้งหมด๘ อย่างคือ ผ้าไตร, บาตร ,เครื่องกรองน้ำ ,มีดเล็ก, ผ้าปูนั่ง ,ประคตเอว, เข็มและด้าย ,กรด ในพระวินัยมุขเล่ม๑
ผู้ใดได้ถวายอัฏฐะบริขาร จะอุดมไปด้วยทรัพย์ พานพบที่สิ่งที่เป็นมงคล นำมาซึ่งอายุ วรรณะ สุขะ พละ
และความเจริญทั้งปวง
ถวายอาสนะ, ที่นอน, หมอน, มุ้ง
จะได้ไปเกิดในตระกูลขัตติยมหาศาลบริบูรณ์ ได้ทรัพย์สมบัติ และบริวารที่ดีเป็นอันมาก อีกทั้งยังถือเป็นการ
ต่ออายุให้บิดา มารดา
ถวายผ้าอาบน้ำฝน ผ้านุ่งห่มต่างๆ
ได้ผลบุญตอบแทนทันทีในปัจจุบันจากแรงอธิษฐาน นำมาซึ่งอายุ วรรณะ สุขะ พละ และความเจริญทั้งปวง
ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ จะเป็นผู้มีผิวพรรณ งดงาม สุ้มเสียงไพเราะ มีลาภยศ และบริวารแวดล้อมถึงซึ่งความ
สำเร็จเสมอไป อีกทั้งยังเป็นการสะสมปัจจัยอันยิ่งใหญ่ เพื่อเดินทางสู่ภพต่อไป เมื่อดับชีพวายชนม์
ก็ไปเกิดบนสรวงสวรรค์ เสวยทิพยสมบัติสืบไป

เรื่องเล่าอานิสงส์ในสมัยพุทธกาล
ในกาลครั้งหนึ่ง องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จอาศัยกรุงสาวัตถี อันเป็นที่โคจรบิณฑบาต
เสด็จประทับอยู่ในบุพพารามวิหาร ณ ป่าเชตวัน มีมหาเศรษฐีผู้หนึ่งอยู่ในบ้านสถาน ชื่อว่า หะโตสะเศรษฐี
ปลูกโรงมณฑปไว้หน้าเรือนของตน และทำสร้างแปลงอัฏฐะบริหาร ๘ ประการเป็นต้นว่า ผ้าจีวร
สบง สังฆาฏิ บาตรและผ้ากรองน้ำ คิลานเภสัช และขวานสิ่ว เสื่อสาดอาสนะ ครบเครื่องอัฏฐะ แล้วทำการ
มหรสพอันยิ่งใหญ่ประจบครบ ๗ วัน แล้วจึงนำกองอัฏฐะ เข้าไปสู่ป่าเชตวัน ณ บุพพรามวิหารอันเป็นที่ประทับ
แห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ถวายบิณฑบาต และอัฏฐะ แก่พระพุทธองค์กับทั้งพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป เสร็จจาก
การภัตตากิจแล้ว ก็กราบทูลถามถึงองค์ผู้เจริญ อันบุคคลที่มีจิตศรัทธา ประสันนาการ มาสร้างอัฏฐะ บริขาร
๘ ประการให้เป็นทาน จะได้อานิสงส์ อย่างไรพระเจ้าข้า

องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสเทศนาว่า ดูกรเศรษฐีบุคคลใด ที่มีใจศรัทธาเลื่อมใส มาก่อสร้างบริการ
๘ ประการ ถวายเป็นทานก็จะได้อานิสงส์ ๓๖ กัล์ป บุคคลผู้นั้นจะไม่ไปสู่อบายภูมิได้ ๑๐๐ ชาติ จะได้เสวยสมบัติ
ในชั้นสวรรค์ภายหลัง จะได้พระนิพพานสมบัติ อันสิ้นภพ สิ้นชาติสิ้นทุกข์สิ้นภัย ไม่เวียนว่ายตายเกิด
ในวัฏฏสงสาร การถวายทานด้วยเครื่องอัฏฐะบริขารนี้ เป็นเยี่ยงอย่างประเพณี แห่งพระบรมโพธิสัตว์
สืบ ๆ กันมา พระพุทธองค์จึงนำอดีตนิทานมาเทศนาว่า

ดูกรเศรษฐีในอดีตกาลล่วงมาแล้ว ในครั้งพระบรมโพธิสัตว์ บำเพ็ญพระบารมีบริบูรณ์
ได้ตรัสรู้ปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ทรงพระนามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณา
โปรดเวไนยบรรพสัตว์ ให้ตั้งอยู่ในทางสวรรค์และทางนิพพาน ครั้งนั้นยังมีบุรุษเข็ญใจ
เลี้ยงชีวิตด้วยความลำบากไปเที่ยว เก็บผักหักฟืน มาขายเลี้ยงชีวิตอยู่มาวันหนึ่งไปเห็น
พระปัจเจกโพธิองค์หนึ่ง อยู่ในป่า ก็มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ในพระปัจเจกโพธิ เข้าไปถวายอภิวาท
แล้วแบกเอามัดฟืน และผักกับมาขายได้เงินพอสมควร แล้วจึงนำไปซื้อผ้าแพรมาทำเป็นผ้าสบง
จีวรสังฆาฏิบาตรครบเครื่องอัฎฐะ แล้วจึงนำเข้าไปถวายแก่ พระปัจเจกโพธิเจ้า แล้วจึงตั้งปฏิธาน
ด้วยเดชะบุญแห่งข้าพเจ้าได้ทำทานในครั้งนี้
ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากความเข็ญใจได้ยาก เหมือนดั่งชาตินี้ และเมื่อข้าพเจ้าได้ท่องเที่ยว
อยู่ในวัฏฏสงสารตราบใด ขอให้ข้าพเจ้า บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ ให้ได้จำแนกแจกทานแก่ท่านผู้มีศีล
และคนยาจกวณิพกคนขอทุกทั่วหน้า และขอให้ข้าพเจ้า ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณ
ครั้นปรารถนาแล้วก็กลับไปสู่บ้านเรือนของตนขวนขวายหาเลี้ยงมารดา ตราบเท่าสิ้นอายุ ก็ไป
บังเกิดสวรรค์ชั้นดุสิต มีวิมานทองสูง ๒๘ โยชน์ มีนางฟ้าเทพอัปสร ๕๐๐
เป็นบริวาร ครั้นจุติจากตุสิตพิภพแล้ว มาถือกำเนิดในตระกูล สากยะเสตะราชกรุงสาวัตถี
บริบูรณ์ด้วย โภคสมบัติ ครั้นเจริญวัยขึ้นก็ได้เสวยราชสมบัติแทนบิดา ทรงพระนามว่าสมเด็จ
พระยาปัสเสนทิโกศล ในกาลบัดนี้ครั้นจบพระธรรมเทศนาแล้ว หะโตสะเศรษฐีได้ทูลลาไป
สู่เรือนของตน ครั้นเมื่อสิ้นอายุขัยแล้วก็ไปบังเกิดในดุสิตเสวยทิพย์สมบัติ มีวิมานทองสูง
๒๐ โยชน์ มีเทพอัปสร ๓ หมื่น เป็นบริวาร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น